ข่าวสาร

ได้เวลาแล้ว !! ที่จะต้องผลักดันเกษตรกรไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลก่อนที่จะสายเกินแก้

ได้เวลาแล้ว !! ที่จะต้องผลักดันเกษตรกรไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลก่อนที่จะสายเกินแก้

ในสภาวะที่ประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก หลายคนต้องต่อสู้กับวิกฤตทางการเงินและถูกบังคับให้ขายหรือปิดกิจการ พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร ผู้คนจะต้องกักตัวอยู่ที่บ้านและไม่สามารถออกไปซื้อของหรือออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนได้ตามปกติ เมื่อมีการประกาศเคอร์ฟิวจากรัฐบาล ระบบโลจิสติกส์ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย แม้ว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนสูง จะยังมีเงินหมุนเวียนเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ได้ แต่อย่างไรก็ดี สังคมไทยก็ยังถือเป็นสังคมเกษตรกรรม โดยร้อยละ 40 ของจำนวนประชากร ทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ดังนั้นแล้วประชากรกลุ่มนี้จะสามารถปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับ “ความปกติใหม่” (New Normal) และจะกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างไร สิ่งนี้จึงถือเป็นความท้าทายที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการตกค้างของผลผลิตทางการเกษตรและวิถีชีวิตที่ยากลำบาก
ได้เวลาแล้ว !! ที่จะต้องผลักดันเกษตรกรไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลก่อนที่จะสายเกินแก้
ได้เวลาแล้ว !! ที่จะต้องผลักดันเกษตรกรไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลก่อนที่จะสายเกินแก้
ในการปิดเมืองนั้นทำให้ส่งผลให้เกิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากสถานที่ต่าง ๆ ถูกปิดเพื่อให้ผู้คนใช้เวลาอยู่ที่บ้าน มีแนวโน้มว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะกินระยะเวลานาน ดังนั้นแล้วหากธุรกิจขนาดเล็กมองเห็นโอกาสในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ก็ย่อมสร้างช่องทางการขายให้กับธุรกิจของตัวเอง
หากกล่าวถึงตัวอย่างสินค้าเกษตร เช่น การซื้อมังคุด ซึ่งถือเป็นผลไม้ที่เป็นที่นิยมสำหรับคนไทยหลายๆคน เพราะมีรสชาติอร่อยและหาซื้อได้ง่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาดสด แต่ในช่วงระหว่างมาตรการล็อกดาวน์นั้น พ่อค้ามังคุดจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีช่องทางซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาดสดเช่นเดิม  และคำตอบก็คือการขายผ่านสื่อโซเชียล ซึ่งจะกลายเป็นช่องทางสำคัญที่ผู้ประกอบการจะสามารถพลิกวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสได้อีกทางหนึ่ง
ประเทศไทยมีเกษตรกรประมาณ 10 ล้านคนที่ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในโครงการเยียวยาจากสถานการณ์โควิด 19 เกษตรกรเหล่านี้ไม่สามารถขายสินค้าของตนเอง ได้เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ และก็ไม่ทราบถึงวิธีการขายผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ ทำให้เกษตรกรหลายคนๆจำเป็นต้องตัดสินใจทิ้งสินค้าตกค้าง และเสียโอกาสสร้างรายได้ให้กับตนเองเป็นจำนวนมาก
ในระหว่างมาตรการล็อกดาวน์ หลายองค์กรจำเป็นต้องสร้างเพจเพื่อการตลาดผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก เพื่อให้เจ้าของธุรกิจได้มีพื้นที่ในการโฆษณาสินค้าและบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเกษตรกรมีความรู้ก็จะสามารถใช้ช่องทางออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตนเองได้ และก็จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย
จากข้อมูลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตของประเทศไทยถูกขับเคลื่อนโดยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมีมูลค่าตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียนและคิดเป็นร้อยละ 17 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
ในประเทศไทย ร้อยละ 90 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์และบริการออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟน โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้มากที่สุดคือเฟซบุ๊ก คิดเป็นร้อยละ 94 ผู้ใช้ YouTube คิดเป็นร้อยละ 94 ของประชากร และ ไลน์เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มากที่สุดเป็นอันดับสาม คิดเป็นร้อยละ 85 ตาม จากผลสำรวจโดย GlobalWebIndex ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สังคมออนไลน์และบริการออนไลน์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย สามารถพัฒนาการทำการตลาดดิจิทัลและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสามารถสร้างธุรกิจของตนเองให้เติบโตและมีผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ขอบคุณที่มา : เว็บไซต์ kenan-asia.org

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button